แผนร่วมมือชิ้นส่วนรถไทย-สิงคโปร์คืบ เอกชนจี้รัฐลดภาษีล่อใจเข้าโครงการ
แผนยกระดับผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์คืบอีกขั้น
สศอ.เร่งมือร่าง 'ทีโออาร์' ตีกรอบความร่วมมือระหว่างไทยสิงคโปร์ชัดเจน
นัดเจรจาคณะทำงานข้ามชาติปลายเดือนสิงหาคมนี้ ชี้เอกชนจะได้สิทธิพิเศษด้านภาษีอื้อ
มั่นใจพัฒนาอุตฯยานยนต์ไทยก้าวกระโดด
หลังจากที่นายกรัฐมนตรีของไทยลงนามความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมระหว่างกันกับนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
โดยเลือกอุตสาหกรรม 2
สาขาที่สามารถเอื้อประโยชน์ระหว่าง 2 ประเทศนี้ ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์
ล่าสุดได้มีความคืบหน้าโดยในวันที่ 23 สิงหาคมนี้จะมีการประชุมร่วมกันทั้งสองฝ่ายเพื่อกำหนดกรอบการทำงานร่วมกันอย่างชัดเจนอีกครั้ง
เกี่ยวกับเรื่องนี้นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์
เปิดเผย 'ประชาชาติธุรกิจ' หลังประชุมหารือคณะทำงานชาวไทยในหมวดอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์
ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.),
เจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม, สถาบันยานยนต์,
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
และตัวแทนผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ฯลฯ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคมว่า ขณะนี้ได้เร่งร่างกรอบ (ทีโออาร์)
เพื่อกำหนดวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และหลักการทำงานระหว่างกัน เนื่องจากสองประเทศนี้สามารถที่จะเอื้อประโยชน์ต่อกันได้เป็นอย่างดี
โดยเฉพาะไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์รายใหญ่ ในขณะที่สิงคโปร์ก็มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์
'เรื่องนี้ต้องให้เครดิตนายกรัฐมนตรีที่มองเห็นประโยชน์ที่เราจะได้รับ
อย่างไรก็ตาม เราในฐานะภาครัฐจะไม่เข้าไปเล่นบทบาทเรื่องนี้เอง แต่จะให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ
ความร่วมมือจะมีได้ทั้งจอยต์เวนเจอร์หรือการเลือกซื้อเฉพาะชิ้นส่วน รวมถึงดึงนักลงทุนสิงคโปร์เข้ามาลงทุนในบ้านเรา
ทำได้ทุกรูปแบบ ภาครัฐจะทำหน้าที่คอยสนับสนุน ใครจะแต่งกัน ใครค้าขายกับใคร
ก็ไปว่ากันเอง' นายวัลลภกล่าวว่า หลังจากได้กรอบความร่วมมือแล้ว จะมีการนัดหารือระหว่างคณะทำงานสองประเทศอีกครั้งในวันที่
23 สิงหาคมนี้ ที่ สศอ. ซึ่งถึงตอนนั้นคงจะมีความชัดเจนมากขึ้น
รวมไปถึงขั้นตอนการทำงานที่จะมีขึ้นในอนาคต 'อีกส่วนที่เราต้องพิจารณาเป็นพิเศษ
คือ ความได้เปรียบเสียเปรียบ เนื่องจากเรามีแต้มต่อในฐานะที่เรามีฐานการผลิตรถยนต์ที่ใหญ่อยู่แล้ว
เพียงแต่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้นที่ล้าหลัง ชิ้นส่วนด้านอื่นๆ เราไม่เป็นรองใคร
ดังนั้น ถ้าทำแล้วเราไม่ได้ประโยชน์ก็ไม่จำเป็นต้องทำ' นายวัลลภกล่าว
และเปิดเผยต่อไปว่า อนาคตความร่วมมือนี้จะขยายวงกว้างไปยังประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม
ที่เล็งๆ ไว้ อาทิ ออสเตรเลีย เยอรมนี ร่วมกลุ่มประเทศอียู
ผอ.สถาบันยานยนต์ยังกล่าวอีกว่า โครงการนี้หลังจากที่ปรึกษาหารือกับภาคเอกชนหลายครั้ง
ก็มีข้อเสนอมากมาย โดยเฉพาะการเสนอขอสิทธิพิเศษหลังเข้าร่วมในโครงการ อาทิ คิดภาษีนำเข้าชิ้นส่วนในอัตราพิเศษ
รวมทั้งการหักลดหย่อนภาษีวัตถุดิบ ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งที่เราบรรจุไว้ในแผนแม่บทอุตสาหกรรม
โดยเฉพาะการยกระดับผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ทั้งนี้ หลังการหารือเรียบร้อยคาดว่าไม่เกิน
3 ครั้ง ทางคณะทำงานจะต้องส่งผลการศึกษาทั้งหมดให้นายกรัฐมนตรีทักษิณ
ชินวัตร ภายในเดือนกันยายนนี้
ที่มา
: ประชาชาติธุรกิจ
ฉบับวันที่ 15 สิงหาคม 2545
|