ไอทีไร้พรมแดน : ประเทศไทยกับก้าวใหม่ของสิทธิบัตร (1)
บริษัทของคนไทย หรือนักประดิษฐ์อิสระทั้งหลาย
ที่ได้ประดิษฐ์คิดค้น ผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ที่อาจขอรับสิทธิบัตร เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ดังกล่าวได้
โดยต้องการให้ได้รับความคุ้มครอง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศพร้อมกัน
คงเคยมีคำถามว่า เป็นไปได้ไหมที่จะขอรับสิทธิบัตรที่เดียวแต่ขอรับความคุ้มครองในหลายประเทศได้
ขอตอบว่าขณะนี้ยังเป็นไปไม่ได้ แต่อีกไม่ช้าไม่นานนี้ การขอคุ้มครองในลักษณะดังกล่าวอาจเป็นไปได้
เพราะประเทศไทยกำลังพิจารณาเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกของสนธิสัญญา ว่าด้วยความร่วมมือทางสิทธิบัตร
(Patent
Cooperation Treaty) หรือที่เรียกโดยย่อว่า PCT เพียงแต่รอคณะรัฐมนตรีอนุมัติเท่านั้น
ความเคลื่อนไหวที่จะนำประเทศไทยเข้าเป็นภาคีของ PCT ดำเนินมาต่อเนื่องหลายปี
โดยมีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นผู้ดำเนินการ เริ่มตั้งแต่การทำความเข้าใจและศึกษาผลดี
และผลเสียของการเข้าร่วมเป็นภาคีดังกล่าว ตลอดทั้งขอความคิดเห็นจากหลายๆ ฝ่าย จนท้ายที่สุดได้มีข้อสรุปเมื่อเร็วๆ
นี้ว่าไทยควรจะเข้าสู่ระบบ PCT เพราะน่าจะช่วยให้คนไทยสามารถนำผลิตภัณฑ์จากการประดิษฐ์ใหม่ๆ
ไปขอรับความคุ้มครองในประเทศอื่นได้สะดวกและประหยัดค่าใช้จ่ายขึ้น อันจะเป็นการส่งเสริมการส่งออก
เพราะจะช่วยให้ผู้ส่งออกมีความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของตน จะไม่ถูกลอกเลียนในต่างประเทศได้โดยง่ายหรือไร้หลักประกัน
โดยประการสำคัญ PCT มีสมาชิกกว่า100
ประเทศ ซึ่งครอบคลุมตลาดสำคัญๆ ของสินค้าของไทยเกือบทั้งหมด
ก่อนที่จะอธิบายระบบสิทธิบัตรของ PCT จะขอทำความเข้าใจในการจดทะเบียนสิทธิบัตรในต่างประเทศ
ในปัจจุบันเสียก่อนเพื่อจะได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ปัจจุบันหากคนไทยต้องการยื่นขอรับสิทธิบัตรสำหรับสิ่งประดิษฐ์ใหม่ในต่างประเทศ
ก็จะต้องยื่นคำขอในแต่ละประเทศ และต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่ประเทศนั้นๆ กำหนดซึ่งอาจแตกต่างกัน
ดังนั้น จึงต้องติดตามคำขอในแต่ละประเทศ ต้องแยกชำระค่าธรรมเนียมตามขั้นตอนของแต่ละประเทศ
โดยความเร็วหรือช้าในแต่ละขั้นตอนของแต่ละประเทศมักจะไม่เท่ากันเพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
ดังนั้น จึงเป็นอุปสรรคต่อการผลิตและจำหน่ายสินค้า เพราะอาจทำได้ไม่พร้อมกันในแต่ละประเทศ
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 2 พฤษภาคม
2546
|