กรมการปกครอง ประเดิมบัตรประชาชนไฮเทคปีแรก 16 ล้านใบ
ก. ไอซีที
รับบทเจ้าภาพหารือหน่วยงานเกี่ยวข้องผลักดันโครงการ
กรมการปกครอง รับมติ ครม. ออกบัตรสมาร์ทการ์ดบริการประชาชนฟรี
ดีเดย์ พ.ย.นี้ ระบุชั้นต้นรองรับการให้บริการ
หน่วยราชการนำร่อง 4 กลุ่มก่อน ด้านกระทรวงไอซีทีหวังเพิ่มเทคโนโลยีสแกนม่านตา-นิ้วมือ
นายสุรชัย ศรีสารคาม
ผู้อำนวยการสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า
ขณะนี้กรมได้ปรับแนวนโยบายให้เป็นไปตามมติของ ครม. เมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา
ซึ่งระบุให้กรมเป็นศูนย์กลางที่จะออกบัตรสมาร์ทการ์ด ที่เป็นบริการพื้นฐานให้กับประชาชน
นอกเหนือจากข้อมูลทะเบียนราษฎร์ และข้อมูลของประชาชน
แล้วยังรองรับข้อมูลและบริการของหน่วยงานราชการอื่นได้ด้วย
ทั้งนี้
เพื่อให้เกิดความสะดวกที่ประชาชนจะถือบัตรสมาร์ทการ์ดใบเดียว และใช้งานได้หลายแอพพลิเคชั่น
อีกทั้ง ครม. ยังระบุให้บัตรสมาร์ทการ์ด เป็นบริการขั้นพื้นฐาน ที่รัฐจะให้กับประชาชน
ดังนั้น จึงไม่ต้องเสียค่าบริการในการทำบัตรประชาชน ที่ใช้สมาร์ทการ์ด
จากนโยบายเดิม ที่กรมมองว่า สมาร์ทการ์ด จะเป็นเพียงทางเลือกซึ่งประชาชนที่สนใจจะใช้ก็ต้องชำระเงินเพิ่มอีก
72 บาท เป็นค่าชิพ
"จากมติดังกล่าว
ประชาชนที่ต้องการทำบัตรไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย และคาดว่าหากไม่มีอะไรผิดพลาดทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนที่จะสามารถให้บริการได้เดือนพฤศจิกายน
นี้" นายสุรชัย กล่าว โดยกำลังทำเรื่องเสนอขอแปรญัตติงบประมาณเพิ่มเติม
เพื่อการจัดซื้อจัดหาชิพสำหรับบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด ไปยังสำนักงบประมาณ ซึ่งแต่ละปีมีปริมาณการทำบัตรประชาชน
10 ล้านใบ และเมื่อเปลี่ยนนโยบายขยายให้รองรับบริการของหน่วยราชการอื่น
คาดว่าต้องทำเพิ่มอีก 6 ล้านใบเป็น 16
ล้านใบ
ขณะเดียวกัน กรมฯ
กำลังเปิดประมูลให้เอกชนเข้ามาจัดทำระบบ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ระบบใหญ่ คือ
โครงการทำระบบทะเบียนราษฎร์ใหม่โดยระบบออนไลน์คอมพิวเตอร์ ครอบคลุมทุกพื้นที่อีก 572 สำนักทะเบียนทั่วประเทศ จากที่ดำเนินการไปแล้ว 505 สำนักทะเบียน
เพราะข้อมูลทะเบียนราษฎร์เป็นข้อมูลหลักที่ใช้ออกบัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งต่อไปประชาชนจะสามารถทำบัตรประชาชนที่สำนักงานอำเภอในเขตใดๆ
ก็ได้ ทั่วประเทศ ไม่จำกัดเฉพาะสำนักงานที่สำมะโนครัวตั้งอยู่เท่านั้น และไม่ต้องถือสำเนาทะเบียนบ้านอีกต่อไป
ส่วนระบบที่ 2 คือ
ระบบบัตรประชาชนอเนกประสงค์สมาร์ทการ์ดอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งออกแบบมาตรฐานเทคนิครองรับไว้แล้ว
แม้เปลี่ยนแปลงนโยบายต้องรองรับแอพพลิเคชั่นของหน่วยงานอื่นเพิ่มเติม ก็ไม่ต้องปรับเปลี่ยนการประมูลใหม่
คาดว่าสิ้นเดือนนี้จะประกาศผลผู้ชนะทั้งสองระบบ
นำร่อง 4 หน่วยงานหลัก
ทั้งนี้
เบื้องต้นบัตรสมาร์ทการ์ดจะรองรับการใช้งานของ 4 หน่วยงานหลัก ประกอบด้วย
งานประกันสุขภาพ โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค, งานประกันสังคม, บัตรเกษตรกร
ที่ระบุประเภทของเกษตรกร และพนักงานข้าราชการที่ระบุสังกัด ส่วนอนาคตหากหน่วยงานใดพร้อมก็สามารถเชื่อมโยงระบบและเพิ่มเติมข้อมูลเข้าไปในบัตรสมาร์การ์ด
ที่มีความจุข้อมูล 32 เค (กิโลไบต์)
ซึ่งรองรับการใช้งาน 34 หน่วยงาน
"สำคัญที่ข้อมูลในบัตรเบื้องต้นจะมีข้อมูลเลขหมายประจำตัว
ลายพิมพ์นิ้วมือ รูปถ่าย ก่อน ซึ่งการอัพเดทข้อมูลของตนเอง
ก็เป็นสิทธิที่แต่ละคนทำได้ ส่วนของหน่วยราชการ
จะสามารถเข้าถึงได้เฉพาะข้อมูลของหน่วยงานตนเอง และเป็นเจ้าหน้าที่รับผิดชอบซึ่งต้องมีรหัสผ่านการเข้าระบบด้วย
เพื่อรักษาชั้นความลับ และข้อมูลส่วนบุคคล" นายสุรชัย
กล่าว ทั้งนี้เมื่อมีการปรับระบบมาใช้สมาร์ทการ์ดแล้ว
ก็จะใช้งบประมาณทำระบบเท่าเดิม เฉลี่ย 30 บาทต่อคนต่อใบ
โดยแต่ละปีใช้งบ 1,800 ล้านบาท สัดส่วนครึ่งหนึ่งของงบประมาณ
เป็นค่าใช้จ่ายระบบคอมพิวเตอร์และสื่อสาร
ไอซีที ยืนยันออกสมาร์ทการ์ดสิ้นปีนี้
ด้าน น.พ.สุรพงษ์
สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวสอดคล้องกันว่า ภายในสิ้นปีนี้
ประเทศไทยจะต้องมีบัตรสมาร์ทการ์ดใบแรกออกมาใช้งาน ซึ่งระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน นี้ กระทรวงจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือ เพื่อผลักดันบัตรสมาร์ทการ์ดออกใช้งานจริง
โดยเบื้องต้นคาดว่าจะนำข้อมูลด้านทะเบียนราษฎร์ ใบขับขี่ บัตรประกันสังคม และบัตรข้าราชการ
เพื่อให้ประชาชนสามารถนำไปติดต่อราชการ หรือการให้ความช่วยเหลือเมื่อประสบอุบัติเหตุ
โดยใช้ข้อมูลจากบัตรใบเดียว รวมทั้ง ในอนาคตอาจเพิ่มเติมเทคโนโลยีสแกนม่านตา
และสแกนลายนิ้วมือ เพื่อเป็นกุญแจสำคัญในการยืนยันตัวบุคคล
ซึ่งจะง่ายต่อการติดต่อราชการมากขึ้น
ที่มา
: กรุงเทพธุรกิจ
ฉบับวันที่ 4 สิงหาคม 2546
|