รายงาน : ดีเดย์ 20 พ.ย.คนไทยใช้บัตรประชาชนไฮเทค
กรมการปกครอง
เล็งเปิดให้บริการบัตรประชาชนรุ่นฝังชิพ (สมาร์ทการ์ด) 20 พ.ย.นี้ สร้างทางเลือกใหม่สำหรับคนไทย
ด้วยต้นทุนค่าบัตรต่ำที่สุดในโลก ไม่เกินบัตรละ 100 บาท
บรรจุข้อมูลส่วนบุคคล ตั้งแต่หมายเลขบัตรประจำตัว ทะเบียนราษฎร์ และลายพิมพ์นิ้วมืออิเล็กทรอนิกส์
สำหรับบัตรประชาชนรุ่นใหม่ดังกล่าว
จะมีความจุข้อมูล 32,000 ไบต์ (32เค) ทำให้เพิ่มความสะดวกในการบรรจุข้อมูลสำมะโนครัว
และใช้เป็นหลักฐานแทนทะเบียนบ้านเพื่อประกอบการติดต่อราชการ หรือทำธุรกรรม เช่นที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน บัตรดังกล่าวยังสามารถต่อเข้าไปยังเวบไซต์ของกรมฯ เพื่อใช้บริการอีเมล
โดยใช้เลขหมายบัตรประชาชน เป็นรหัสประจำตัวผู้ใช้ (ยูสเซอร์ เนม)
และจะมีลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์กำกับท้ายในอีเมลว่า ผู้ส่งเป็นเจ้าของบัตรจริงๆ
ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการทำธุรกรรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีการเข้ารหัสข้อมูล
ด้วยการใช้เทคโนโลยีกุญแจสาธารณะ (พีเคไอ : พับลิค คีย์ อินฟราสตรัคเจอร์) "ผู้ใช้บัตรจะต้องเสียบบัตรเข้ากับเครื่องอ่านสมาร์ทการ์ด
ที่ติดตั้งกับเครื่องคอมพิวเตอร์ และเมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว เครื่องอ่านบัตรก็จะดึงข้อมูลลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
แนบไปกับอีเมลที่จะส่งออกไปยังผู้รับโดยอัตโนมัติ" นายสุรชัย
ศรีสารคาม ผู้อำนวยการสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กล่าวถึงวิธีใช้งาน
ค่าบัตรไม่เกิน 100 บาท
ทั้งนี้บัตรสมาร์ทการ์ด
จะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการทำบัตรประชาชน เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำบัตรดังกล่าวเพิ่มอีก
72
บาท สำหรับค่าชิพ ค่าฝังชิพ และระบบปฏิบัติการที่ใช้ในบัตรเป็นหลัก ขณะที่บัตรแถบแม่เหล็กพื้นฐานแบบเดิมมีต้นทุนค่าบริการ
28 บาทนั้น รัฐเป็นผู้รับภาระ "เมื่อรวมกันแล้วจะมีค่าใช้จ่ายบัตรละไม่เกิน
100 บาท ถือว่าต่ำสุดในโลก เทียบกับบางประเทศ เช่น มาเลเซีย
มีค่าทำบัตรๆ ละ 400 บาท ส่วนคนไทยที่คิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้เแอพพลิเคชั่นเพิ่มเติม
ก็ใช้บัตรเดิมที่เป็นบัตรแม่เหล็กต่อไปได้" นายสุรชัยกล่าว
สาเหตุที่สามารถทำราคาให้ต่ำได้ เนื่องจากกำหนดให้เอกชนที่จะเข้าประมูลโครงการดังกล่าว
ใช้ระบบปฏิบัติการ (โอเอส) ที่เขียนโดยคนไทย
และใช้บัตรที่ผลิตจากโรงงานในประเทศไทย และใช้เทคโนโลยีของชิพในระบบเปิด เพื่อเปิดกว้างสำหรับชิพที่จะผลิตในประเทศไทยได้ในอนาคต
ใช้งบ 1,800 ล้านบาทต่อปี
ทางด้านงบประมาณของโครงการ คาดว่าอยู่ระดับ 1,800
ล้านบาทต่อปี แบ่งเป็น ค่าใช้จ่ายด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และค่าบำรุงรักษาพร้อมเงินเดือนในสัดส่วนเท่ากัน
ซึ่งเมื่อเทียบกับประชากร 65 ล้านคน เท่ากับประชากร 1 คน มีค่าใช้จ่ายต่อบัตร 30 บาท ขณะที่เดิมมีงบประมาณที่ต้องใช้อยู่แล้ว
แต่จะมีค่าใช้จ่ายต่อบัตร 10 บาทต่อคน โดยมีสถิติการทำบัตรประชาชนปีละ
10 ล้านใบ "ปัจจุบันกรมฯ
อยู่ระหว่างการเปิดซองเทคนิค เพื่อจัดหาเอกชนมาให้บริการระบบแบบครบวงจร (เทิร์นคีย์) ซึ่งมีเงื่อนไขเป็นการเช่าระบบ ระยะเวลา
6 ปี โดยรัฐจะชำระค่าบริการรายเดือน เมื่อครบกำหนดต้องโอนกรรมสิทธิ์สินทรัพย์เป็นของรัฐด้วย
เพื่อความมั่นคงของประเทศ" นายสุรชัย กล่าว
โดยแบ่งงานเป็น 2 ส่วนหลัก ประกอบด้วย 1.ระบบทะเบียนราษฎร์ออนไลน์ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนสามารถทำบัตรประชาชนจากสำนักงานอำเภอในท้องที่ใดๆ
ภายใน 15 นาที จากปัจจุบันที่สามารถให้บริการจำกัดเฉพาะพื้นที่
9 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี นครราชสีมา นครศรีธรรมราช
อุดรธานี พิษณุโลก สงขลา สุราษฎร์ธานี สำหรับในส่วนงานแรกนี้ มีเอกชนเข้าประมูล 5 ราย ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือเอไอที, ซีดีจี,
เอ็มเฟค และสงขลาฟินิชชิ่ง
และ 2.บัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด
ซึ่งเอกชนต้องพัฒนาระบบปฏิบัติการใช้ในบัตรเอง และเขียนระบบงานลงในบัตรด้วย
รวมถึงต้องทดสอบระบบว่าทำงานได้จริง แต่หากไม่สามารถทำงานได้
รัฐก็สามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที ในส่วนนี้มีเอกชนแสดงความสนใจเข้ามา 4 ราย ได้แก่ เอไอที, ซีดีจี, สงขลาฟินิชชิ่ง
และบีพีทีเอส
ทั้งนี้
คาดว่าจะสามารถเลือกเอกชนที่ชนะการประมูลได้ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ และใช้ระยะเวลาติดตั้งระบบระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม ซึ่งหากทุกอย่างเป็นไปตามกำหนด
ก็จะเริ่มให้บริการบัตรประชาชนที่เป็นสมาร์ทการ์ดได้อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 20
พ.ย.นี้
และสามารถเปิดให้บริการทั่วประเทศได้ภายในวันที่ 20 ม.ค.47
นักวิจัยไทยขานรับความพร้อม
มั่นใจต้นทุนต่ำกว่านำเข้า
หน่วยงานวิจัย ขานรับนโยบายรัฐอี-ซิติเซน
พัฒนางานต้นแบบ รับเทคโนโลยีออกแบบ-ผลิตสมาร์ทการ์ดในประเทศ
เชื่อคนไทยทำได้ด้วยทุนต่ำกว่า
นายพสิน อิสระเสนา ณ อยุธยา
นักวิจัยศูนย์บริการออกแบบวงจรรวม (TIDI) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
(เนคเทค) กล่าวว่า ภายในสิ้นปีนี้
คาดว่าจะสามารถออกแบบ และทำต้นแบบฮาร์ดแวร์ของไมโครคอนโทรลเลอร์ 8 บิต ที่จะใช้บัตรสมาร์ทการ์ดที่เป็นทั้งบัตรชนิดต้องใช้ร่วมกับเครื่องอ่านบัตร
(Contract Smartcard) กับบัตรที่ไม่ต้องใช้เครื่องอ่าน (Contractless
Smartcard) ซึ่งจะรองรับนโยบายจัดทำบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด หรืออี-ซิติเซนได้ ปัจจุบัน ศูนย์ฯ สามารถออกแบบวงจรรวม
ที่รองรับการใช้งานบัตรประจำตัว ซึ่งใช้คลื่นความถี่วิทยุ (RFID CARD) ได้แล้ว โดยร่วมกับเอกชนพัฒนาเป็นแอพพลิเคชั่นใช้เป็นชิพที่ติดในสัตว์ (Animal
ID)
ด้านนายอิทธิ ฤทธาภรณ์
ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ บางน้ำเปรี้ยว กล่าวว่า
ศูนย์ปรับแนวทางดำเนินงานเป็นโรงงานเวเฟอร์แฟบขนาดเล็ก รองรับการผลิตชิพสำหรับที่ใช้บัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด
จากเดิมมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาไมโครชิพ เพื่อแสดงให้ภาครัฐเห็นว่าศูนย์ฯสามารถผลิตชิพภายในประเทศเอง
ลดค่าใช้จ่าย รวมถึงสร้างผลงานที่วัดได้ หากรัฐจะสนับสนุนงบประมาณต่อเนื่อง
ที่มา
: กรุงเทพธุรกิจ
ฉบับวันที่ 27 มิถุนายน 2546
|