"ไอซีที" ทิ้งทวนโปรเจ็กต์ไอที 1.2 พันล. สานฝัน "ฮับ" ลอจิสติก-ตปท.วิ่งฝุ่นตลบ
ไอซีที" เตรียมเดินเครื่องเปิดประมูลโปรเจ็กต์ไอทีบริหารจัดการเชื่อมต่อระบบลอจิสติกทั่วประเทศ
1,250 ล้านบาท รองรับการเป็นศูนย์กลางด้านลอจิสติก
เผยบริษัทต่างชาติแห่ขอเอี่ยว ขณะที่ "ซิป้า"
ประสานเนคเทค-ซอฟต์แวร์พาร์ค
สานนโยบายส่งเสริมการใช้ "โอเพ่นซอร์ซ" ประเดิมกรุยทางหนุนใช้ "ลีนุกซ์เซิร์ฟเวอร์"
ในหน่วยงานภาครัฐ พร้อมผลักดันเป็นหลักสูตรการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย"
น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
(ไอซีที) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่
9 พ.ย.ที่ผ่านมา
ได้มีการพิจารณาอนุมัติงบประมาณ 1,250 ล้านบาท
เพื่อดำเนินโครงการระบบไอทีในการบริหารจัดการระบบลอจิสติกทั่วประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โครงการดังกล่าวเสนอโดยกระทรวงคมนาคมเพื่อพัฒนาระบบลอจิสติกให้ทันสมัย ลดระยะเวลาและขั้นตอนพิธีการต่างๆ
รวมทั้งสามารถตรวจสอบได้ว่าสินค้าเดินทางอยู่ ณ จุดใด โดยใช้เทคโนโลยี RFID
โดยกระทรวงไอซีทีได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินการประมูลจัดหาระบบไอทีทั้งหมด
"โครงการนี้จะช่วยให้การทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้า
เช่น การท่าเรือฯ การท่าอากาศยานฯ ร.ฟ.ท.
จะเชื่อมต่อระบบถึงกันหมด โดยมีกำหนดระยะเวลาการทำโครงการ 3 ปี ขณะนี้มีบริษัทเจ้าของเทคโนโลยี ทั้งญี่ปุ่น อเมริกาเข้ามาพรีเซนต์เทคโนโลยีให้ดูแล้ว
นอกจากนี้บริษัทจากสิงคโปร์ก็สนใจที่จะมานำเสนอเทคโนโลยี ในส่วนของอเมริกาได้มาสาธิตระบบต่างๆ
ตั้งแต่เมื่อครั้งการประชุมเอเปกที่ผ่านมา" น.พ.สุรพงษ์กล่าว
ด้านนายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ โฆษกกระทรวงไอซีที เปิดเผยถึงความคืบหน้าแผนดำเนินการโอเพ่นซอร์ซว่า
ภายหลังจากการประชุมร่วมกันระหว่างสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ
(ซิป้า) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
(เนคเทค) และเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ (ซอฟต์แวร์พาร์ค) เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2547 ที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ซิป้าเป็นแม่ข่ายในการส่งเสริมการพัฒนาโอเพ่นซอร์ซของประเทศ
และที่ประชุมได้เห็นชอบที่จะว่าจ้างนายเจมส์ คล๊าก ผู้เชี่ยวชาญด้านโอเพ่นซอร์ซระดับโลกมาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาโครงการและเป็นแกนหลักในการประสานการทำงานของทุกฝ่าย
โดยนายเจมส์ คล๊าก ได้เข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทย และได้ร่วมทำโครงการด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์กับนักพัฒนาไทยในหลายๆ
ด้าน จนเป็นที่รู้จักและยอมรับในกลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์
นายมนู อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการซิป้า กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า
ทิศทางการพัฒนาของโอเพ่นซอร์ซนั้น มีทางเลือกเยอะ ดังนั้น ในที่ประชุมจึงมีการสรุปในหลักการว่า
ในเบื้องต้นจะมีการส่งเสริมการใช้ลีนุกซ์เซิร์ฟเวอร์ในองค์กรต่างๆ เนื่อง จากมองว่าจะสามารถผลักดันให้องค์กรต่างๆ
นำโอเพ่นซอร์ซไปใช้งานได้ง่ายกว่า และมีปัญหาจุกจิกในการใช้งานน้อยกว่าการผลักดันการใช้โอเพ่นซอร์ซบนเครื่องเดสก์ทอป
เนื่องจากระบบภาษาไทยบนลีนุกซ์ยังไม่มีมาตรฐาน และเมื่อเกิดปัญหาในการใช้งานก็ยังไม่มีคนซัพพอร์ต
กลุ่มแรกที่จะผลักดันให้มีการใช้ลีนุกซ์เซิร์ฟ เวอร์ก็คือหน่วยงานราชการต่างๆ
แต่ไม่ใช่การบังคับ ขึ้นอยู่กับความพร้อมและความสนใจของหน่วยงานนั้นๆ โดยจะจัดหาหน่วยงานมาทำหน้าที่สนับสนุนการใช้งานของหน่วยงานราชการต่างๆ
เวลาที่มีปัญหาการใช้งาน รวมถึงการพัฒนาแอปพลิเคชั่นเพื่อรองรับการทำงานต่างๆ ซึ่งในส่วนนี้ก็อาจจะต้องดึงบริษัทเอกชนที่อยู่ในตลาดเข้ามาช่วย
"ถึงที่สุดการส่งเสริมการใช้โอเพ่นซอร์ซบนพีซีก็ต้องทำด้วย
ซึ่งในส่วนนี้ทางเนคเทคน่าจะเข้ามาช่วยสนับสนุนได้มาก เพราะที่ผ่านมาเนคเทคก็ได้ทำการพัฒนาลีนุกซ์ออฟฟิศ
เพื่อการใช้งานบนพีซีมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถขยายผลจากโครงการของเนคเทคได้ แต่เนื่องจากการพัฒนาภาษาไทยบนโอเพ่นซอร์ซมีหลายตัว
จึงมีการหารือที่จะร่วมมือกันสร้างมาตรฐานภาษาไทยที่ใช้บน Linux client ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยซิป้า, เนคเทค และซอฟต์แวร์พาร์คได้ร่วมกันสนับสนุนงบประมาณ
1.2 ล้านบาท เพื่อใช้ในการสร้างมาตรฐานภาษาไทย" นายมนูกล่าวและว่า
อย่างไรก็ตาม จะมีการประชุมหารือเพื่อกำหนดแผนแม่บทในการพัฒนาโอเพ่นซอร์ซร่วมกันอีกครั้ง
ซึ่งต้องมาพิจารณาว่าจะมีใครบ้างที่เกี่ยวข้องในโครงการนี้ นอกเหนือจากซิป้า,
เนคเทค และซอฟท์แวร์พาร์ค เช่นจะต้องดึงมหาวิทยาลัยต่างๆ
เข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งจะทำเป็นหลักสูตรการเรียน การสอน ในการพัฒนาโอเพ่นซอร์ซ
ที่มา
: ประชาชาติธุรกิจ
ฉบับวันที่ 11 พฤศจิกายน 2547
|