BOI เปิดช่อง HDD รับสิทธิประโยชน์ใหม่ ลงทุนวิจัยเพิ่ม (STI) รับทันทีเท่าเขตสาม
BOI
แก้เงื่อนไขด้านการส่งเสริมเพื่อพัฒนาทักษะ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (STI)
ผ่านฉลุย เปิดทาง 4 บริษัทยักษ์ผู้ผลิต HDD
"ซีเกท-ฮิตาชิ/ไอบีเอ็ม-เวสเทิร์น ดิจิทัล-ฟูจิตสึ" ขอสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเทียบเท่าเขต 3 จากเดิมที่กำหนดต้องมีรายจ่ายด้านวิจัย/พัฒนาไม่ต่ำกว่าร้อยละ 1-2 ของยอดขาย/ปี แก้เป็นมีรายจ่ายไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท/ปี หวังจูงใจผู้ผลิต HDD อย่าย้ายฐานการผลิตไปจีน
แหล่งข่าวในคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึง การปรับปรุงนโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาทักษะ
เทคโนโลยี และนวัตกรรม (skill technology & innovation หรือ
STI) ในอุตสาหกรรมผลิตฮาร์ด ดิสก์ไดรฟ์ (hard disk
drive หรือ HDD) ซึ่งผ่านการอนุมัติของที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ว่า
เป็นการแก้ไขหลักเกณฑ์
การให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมในอุตสาหกรรม HDD ที่มีการลงทุนทางด้าน STI หลังจากที่ BOI ได้ตัดสินใจที่จะให้สิทธิประโยชน์ทางด้าน STI ครอบคลุม
ทุกประเภทกิจการที่ได้รับการส่งเสริม จากเดิมที่กำหนดให้การส่งเสริมทางด้าน STI
เฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมาย 3 กลุ่ม ได้แก่ อุตสาหกรรมแฟชั่น
(สิ่งทอ-เสื้อผ้าสำเร็จรูป-เครื่องหนัง-อัญมณีเครื่องประดับ), อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรม ICT (information communication
technology) โดยรายละเอียดที่ทำการแก้ไขให้การส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาทักษะ
เทคโนโลยี และ นวัตกรรม (STI) ในอุตสาหกรรม HDD ได้แก่ การเพิ่มเติมการให้สิทธิประโยชน์ทางด้านนี้ครอบคลุมไปถึงผู้ผลิตชิ้นส่วนสำหรับการผลิต
HDD เพื่อให้การส่งเสริม HDD ทั้งคลัสเตอร์ตามนโยบายของรัฐบาล
นอกจากนี้ ยังมีการแก้ไขปรับปรุงในส่วนของเงื่อนไขการได้มาซึ่งสิทธิประโยชน์ทางด้าน
HDD ให้ง่ายขึ้นจากเดิมประกอบไปด้วย
1) ค่าใช้จ่ายทางด้านการวิจัยและพัฒนาถัวเฉลี่ยใน 3 ปีแรก จากเดิมกำหนดให้ผู้ประกอบการ HDD จะต้องมีการใช้จ่ายในส่วนนี้ไม่น้อยกว่าร้อยละ
1-2 ของยอดขาย HDD ต่อปี ปรากฏได้แก้ไขเป็นต้องมีการใช้จ่ายด้านวิจัยและพัฒนาถัวเฉลี่ย
3 ปีแรกไม่น้อยกว่าร้อยละ 1-2
ของยอดขายต่อปี "หรือ" ไม่ต่ำกว่า
50 ล้านบาทในกิจการผลิต HDD และไม่ต่ำกว่า
25 ล้านบาทในกิจการผลิตชิ้นส่วน HDD
2) ค่าใช้จ่ายด้านพัฒนาขีดความสามารถ ของผู้รับช่วงการผลิตไทยหรือค่าใช้จ่ายสนับสนุนสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้อง
โดยถัวเฉลี่ยใน 3 ปีแรกจากเดิมที่กำหนดให้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 ของยอดขายต่อปี แก้ไขเป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 1
ของยอดขายต่อปี "หรือ" ไม่ต่ำกว่า
150 ล้านบาทสำหรับกิจการผลิต HDD หรือไม่ต่ำกว่า
25 ล้านบาทสำหรับกิจการผลิตชิ้นส่วน HDD
3) การจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา จากเดิมกำหนดให้มีการจัดตั้งศูนย์ตามที่
BOI ให้ความเห็นชอบภายใน 3 ปีนับแต่วันเปิดดำเนินการ
แก้ไขเป็นต้องตั้งศูนย์ภายใน 3 ปีตามหลักเกณฑ์ที่ BOI
กำหนด และ
4) การมีผลบังคับใช้ จากเดิมที่กำหนดไว้ว่าโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้วแต่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการผลิตสามารถขอรับสิทธิประโยชน์ตามหลักเกณฑ์
STI ได้ แก้ไขเป็นโครงการที่ได้รับ การอนุมัติแล้ว แต่ยังไม่มีรายได้เกิดขึ้นสามารถขอรับสิทธิประโยชน์ทางด้าน
STI ได้
"นั้นหมายความว่า การแก้ไขปรับปรุงเงื่อนไขการได้สิทธิประโยชน์
STI สำหรับอุตสาหกรรม HDD ก็เพื่อเปิดช่องให้ผู้ประกอบการขอสิทธิประโยชน์ทางด้านนี้ง่ายขึ้น
ลองคิดดูง่ายๆ หากกำหนดค่าใช้จ่ายด้านการวิจัย/พัฒนาไม่น้อยกว่าร้อยละ
1-2 ของยอดขาย/ปี สมมุติผู้ผลิต HDD
บริษัท A มี ยอดขาย 6,000 ล้านบาท/ปี นั้นหมายถึงบริษัท A ต้องมีค่าใช้จ่ายด้านวิจัยถึง 120
ล้านบาทจึงจะได้สิทธิประโยชน์ทางด้าน STI ดังนั้น การกำหนดให้มีค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า
50 ล้านบาท จึงช่วยผู้ประกอบการลดค่าใช้จ่ายทางด้าน STI
ลงจากเงื่อนไขเดิมที่กำหนดไว้อย่างมาก" แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้ ไทยเป็นฐานการผลิต HDD ใหญ่เป็นอันดับ
2 ของโลก มีส่วนแบ่งทางการตลาดร้อยละ 17.8 จัดเป็นการผลิตเพื่อการส่งออกเกือบทั้งหมดจาก 4 บริษัทใหญ่
ได้แก่ Seagate, Hitachi-IBM, Western Digital และ Fujitsu
โดยในปี 2545 ไทยผลิต HDD ได้จำนวน 39 ล้านตัว
ขณะที่ตลาดภายในประเทศมีความต้องการใช้ HDD เพื่อประกอบในเครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเพียง
700,000-800,000 ตัว การปรับปรุงสิทธิประโยชน์ที่ให้กับอุตสาหกรรม
HDD ก็เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยต่อไปแทนที่จะย้ายฐานการผลิตไปจีนในอนาคต
สำหรับสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากผู้ประกอบการที่มีการลงทุนทางด้านการพัฒนาทักษะ
เทคโนโลยี และนวัตกรรม (skill technology & innovation หรือ
STI) จะประกอบไปด้วยการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มกรณีละ
1 ปี แต่รวมแล้วต้องไม่เกิน 8 ปี และได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรซึ่งจะทำให้กิจการ
HDD และผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ลงทุนในเขต 1
หรือเขต 2 สามารถรับสิทธิประโยชน์เท่ากับการลงทุนในเขต 3
ที่มา
: ประชาชาติธุรกิจ
ฉบับวันที่ 8 มีนาคม 2547
|