APEC SME เวทีสร้างความแกร่งรากหญ้า
คอลัมน์ Road to APEC
อาจเป็นเพราะเรื่องเอสเอ็มอี
และรัฐวิสาห กิจกลุ่มย่อย (Micro
Enterprise) ได้ถูกบรรจุให้เป็น 1 ใน 5 ประเด็นหลักทางเศรษฐกิจในเวทีประชุมผู้นำเศรษฐกิจ ในระหว่างวันที่ 20-21 ตุลาคมที่จะถึงนี้ จึงทำให้เวทีการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก ด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) 2003 ที่จัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ในช่วงสัปดาห์นี้คือระหว่างวันที่ 4-9
สิงหาคมทวีความสำคัญยิ่งขึ้น และนับเป็นหัวใจสำคัญของกรอบการประชุมเอเปกที่ไทยเป็นเจ้าภาพ
โดยเฉพาะการประชุมในเวทีระดับรัฐมนตรีที่จะเป็นเวทีปิดท้ายในวันที่ 7-8 สิงหาคม ภายใต้หัวข้อ "Strengthening APEC Enterpreneurial
Society" หรือการสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการ
การประชุมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 10
แล้วที่รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบเรื่อง SME ระหว่างประเทศสมาชิกได้มาหารือกัน
หลังจากที่มีการประชุมครั้งแรกที่โอซากา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 1994 เหตุผลที่ทำให้ประเทศสมาชิกหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เป็นเพราะปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐวิสาห
กิจของประเทศสมาชิกทั้งหมดกว่า 98% ยังเป็น SME ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐ
ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ที่บริษัทขนาดใหญ่ยกเลิกการจ้างงานตลอดชีวิต รวมทั้งมีกระแส
restructuring และ downsizing ที่เกิดขึ้นทำให้คนต้องทำงานหนักมากขึ้น
และเป็นที่มาที่ทำให้ประชากรในประเทศเหล่านี้ต้องการก้าวเข้ามาเป็นผู้ประกอบการมากขึ้นจนประเทศพัฒนาแล้วเชื่อว่า
SME กำลังกลายเป็นศูนย์กลางในยุค new economy
และการประชุมครั้งนี้ไทยจะเสนอมาตรการสร้างผู้ประกอบการใหม่ โดยให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์
และ best practice ในการสร้างผู้ประกอบการใหม่และธุรกิจใหม่ รวมทั้งให้มีการส่งเสริมวัฒนธรรมผู้ประกอบการและจัดทำหลักสูตรผู้ประกอบการสำหรับสถาบันการศึกษา
เนื่องจากหลายประเทศสมาชิกรวมทั้งไทยยังไม่มีสังคมที่มีวัฒนธรรมผู้ประกอบการ นอกจากนี้
ยังจะมีการนำเสนอปัญหาในเรื่องส่งออก ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญเพื่อนำไปสู่มาตรฐานในการกำจัดอุปสรรคในเรื่องการส่งออกของผู้ประกอบการ
SME เพราะที่ผ่านมาแม้ 98%
ของรัฐวิสาหกิจจะเป็น SME แต่สัดส่วนในการส่งออกน้อยมากเพียง
30% ดังนั้นเวทีนี้จะมุ่งขจัดปัญหาและอุปสรรคให้กับผู้ประกอบการ
เพื่อเพิ่มการส่งออก
ในมุมหนึ่งของงานสัมมนาเรื่อง "การส่งเสริมประชาคมของ
SME ผู้ส่งออกในเอเปกมุมมองจากธุรกิจ" ซึ่งจัดขึ้นระหว่างการประชุม
APEC SME สะท้อนปัญหาเรื่องการส่งออกไว้อย่างน่าสนใจ
โดยระบุว่าการกีดกันทางการค้าแข่งขันสูง คืออุปสรรคที่สำคัญสำหรับการส่งออก
โดยนายคายยา อาหมัด ประธานบริหารเครือ Iryas Group จากมาเลเซีย
กล่าวว่า SME มีปัญหาในเรื่องต้นทุนการผลิต การเข้าถึงตลาดต่างประเทศ
และยังเจออุปสรรคจากภายนอกในเรื่องการกีดกันทางการค้า โดยมาตรการต่างๆ
ที่ไม่ใช่ภาษียิ่งทำให้เกิดความรุนแรงทำให้มีการตัดราคา การตกลงการค้าเสรีต่างๆ
ยิ่งเร่งกดดัน SME มากขึ้น
ขณะที่การประชุมธุรกิจกลุ่มย่อย (Micro Enterprise) หรือธุรกิจระดับรากหญ้า ที่ไทยเป็นผู้จัดทำแผนปฏิบัติการ (action
plan) ได้สรุปถึงมาตรการสำคัญๆ ไว้ 6 ประการ
ได้แก่ 1. การจัดให้มีการรวบรวมข้อมูลทางธุรกิจและนโบายของธุรกิจขนาดย่อยเพื่อเป็นฐานข้อมูลของธุรกิจขนาดย่อย
2. จัดทำนโยบายและโครงสร้างทางกฎหมายให้สอดคล้องกับลักษณะพิเศษ ของธุรกิจขนาดย่อยซึ่งเป็นธุรกิจนอกระบบ
3. กำหนดมาตรการในการเข้าถึงบริการทางการเงินใหม่ๆ
ที่ไม่จำกัดอยู่แต่ในรูปแบบธนาคาร 4. การเข้าถึงเทคโนโลยี ควรให้การช่วยเหลือในเรื่องโครงสร้างและทรัพย์สินทางปัญญาโดยเฉพาะ
การกำหนดนโยบายสารสนเทศ เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านข้อมูล การฝึกอบรม ปรับตัวกับกระบวนการผลิตใหม่ๆ
5. พัฒนาความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจขนาดย่อย มีที่ปรึกษาทางธุรกิจสำหรับธุรกิจขนาดย่อม
6. พัฒนาความสามารถธุรกิจขนาดย่อมโดยจัดทำโครงการเพื่อพัฒนาความสามาถของธุรกิจขนาดย่อมให้มีความเหมาะสม
ทั้งหมดเป็นการสะท้อนปัญหาท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่เชี่ยวกราก และเป็นปัญหาที่การประชุม
APEC SME พยายามหยิกยกขึ้นมาเพื่อนำไปสู่การลดอุปสรรคก่อนนำเสนอในเวทีระดับรัฐมนตรี
ระหว่างวันที่ 7-8 สิงหาคมนี้
และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการ SME ระหว่างประเทศสมาชิกอย่างแท้จริง
!!!
ที่มา
: ประชาชาติธุรกิจ
ฉบับวันที่ 7 สิงหาคม 2546
|